
มีบทความทางสุขภาพมากมายที่บอกว่าการออกกำลังกายคือยาแก้เครียด
คุณรู้หรือไม่ว่าการออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการทำให้ร่างกายแข็งแรงและจิตใจสงบ
ช่วงเวลาที่กำลังเครียดคือเวลาที่ควรออกกำลังกายมากที่สุด
อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะลุกขึ้นและก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆที่ขวางอยู่ตรงประตูเพื่อไปออกกำลังกาย
แต่หากคุณไม่ทำก็เท่ากับว่ากำลังละทิ้งหนทางอันทรงพลังและสงบที่จะช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
แทนที่จะต้อสู้กับความคิดที่ว่า
"ฉันควรจะออกกำลังกายหรือไม่ทำดี"
ให้ถามตัวเองว่าคุณต้องการที่จะรู้สึกมีพลังมากขึ้นไหม? พักผ่อนเพียงพอแล้วหรือยัง? อยากนอนหลับได้ดีขึ้นไหม? ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่ใช่การออกกำลังกายชนิดพิเศษแต่อย่างใดแต่กำลังหมายถึงสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกสบายใจ
หากคุณต้องการรู้สึกดีขึ้นในตอนนี้และมีชีวิตที่ยืนยาวควรออกกำลังกายให้เป็นกิจวัตร
อย่าคิดมากเกี่ยวกับมัน เพียงแค่ลงมือทำและทำอย่างสม่ำเสมอ
ต่อไปนี้เราจะพูดถึงการทำความเข้าใจกับความเครียดที่ก่อกวนตารางออกกำลังกายของคุณ และเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณสนุกกับการอออกกำลังกายได้ในทุกๆวัน
อุปสรรคความเครียด
# 1:
"ฉันเครียดเกินไปที่จะออกกำลังกายในวันนี้"
ไม่มีใครที่ไม่มีความเครียดหรือไม่มีความคิดด้านลบในระหว่างที่พยายามออกกำลังกายตามตาราง
ในความเป็นจริงแล้ว สมาคมจิตวิทยาอเมริกันรายงานว่า มีคนในวัยผู้ใหญ่ถึง 39 %
ที่ยกเลิกการออกกำลังกายประจำวันเมื่อพวกเขารู้สึกเครียด และมีเพียง 8 %
เท่านั้นที่จะออกกำลังกายเมื่อรู้สึกเครียด
วิธีการแก้ไข
:
การลดความเครียดเป็นวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งของการออกกำลังกาย ลองทำให้การออกกำลังกายเป็นองค์รวมมากขึ้นและมีประโยชน์มากขึ้นต่อร่างกายและจิตใจ
เช่น หลังจากทำ squats หรือ lunges ใช้เวลา 5 นาทีในการสูดลมหายใจลึกๆ
มีสติรับรู้ทุกการเคลื่อนไหว รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่กำลังหดและคลายตัว
เพียงเท่านี้การออกกำลังกายก็จะกลายเป็นการทำสมาธิที่จะช่วยลดความเครียดไปได้เป็นอย่างดี
อุปสรรคความเครียด
# 2: "ฉันจะออกกำลังกายหนักกว่าปกติเพราะฉันเครียดมาก"
การวิ่งขึ้นเขาในระยะทาง
16 กิโลเมตรจะช่วยลดความเครียดในวันหนักๆได้จริงหรือ? ความจริงก็คือถ้าคุณไม่ได้ตั้งเป้าหมายในการวิ่งเพื่อท้าทายตนเองแล้วล่ะก็
สิ่งที่ทำอยู่จะเป็นการทำร้ายตัวเองและทำให้คุณหมดพลังในที่สุด
วิธีการแก้ไข
:
เลือกวิธีการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกน้อยในวันที่รู้สึกเครียดมาก
เมื่อคุณไม่อยู่ในภาวะที่ร่างกายและจิตใจพร้อมที่จะสู้อะไรหนักๆ
ให้เลือกการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวเบาๆเพื่อให้ร่างกายและจิตใจฟื้นตัว
อย่างเช่น โยคะ โดยเลือกคลาสที่มีการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน ผ่อนคลายและฝึกสมาธิ ,ปั่นจักรยาน 30 นาทีหรือว่ายน้ำ
หรืออาจจะเลือกวิ่งจ็อกกิ้งเบาๆหรือเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่เล่นกอล์ฟก็ได้
อุปสรรคความเครียด # 3: "ฉันเบื่อกับการออกกำลังกายที่ทำอยู่"
นักวิ่งบางคนอาจสนุกกับการวิ่งขึ้นเขาแทนที่จะวิ่งทางตรงระยะทางยาวๆ
พวกเขาจะรู้สึกสนุกและมีความสุขมากขึ้น ดังนั้น
ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าคุณไม่ผลักดันตัวเองให้มากพอคุณจะหยุดออกกำลังกายเมื่อจิตใจและร่างกายของคุณไม่สามารถรู้ถึงความแปลกใหม่หรือความก้าวหน้าใดๆ
วิธีการแก้ไข
:
หาจุดที่พอดีระหว่างความกระตือรือร้นและความกังวลที่คุณจะสามารถออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่รู้สึกแย่
เช่น เร่งอัตราการวิ่งบนลู่วิ่งได้ใน 10
นาที กระโดดเชือก
เปลี่ยนเส้นทางวิ่งใหม่ๆ เป็นต้น
สิ่งที่ดีที่สุดในการหาจุดที่เหมาะสมในการออกกำลังกายและปรับการออกกำลังกายให้เหมาะกับระดับความเครียดในแต่ละวันคือ ทำให้การออกกำลังกายมีความน่าสนใจมากขึ้น เหมือนกับการหาความสำเร็จใหม่ๆให้กับตนเอง